เมื่อปีที่แล้วผมได้มีโอกาสได้บวชเป็นพระ อยู่ในพระพุทธศาสนาเป็นเวลา1พรรษา เมื่อครู่ได้อ่านกระทู้ บางกระทู้เกี่ยวกับพระสมัยนี้ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม และจากที่เคยเห็นมาด้วย ก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้คิดตำหนิอะไรมากมาย
แต่ที่จะมาเล่าให้ฟังคือ ช่วงชีวิตหนึ่งที่ได้บวชอยู่ในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว จึงอยากมาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ถือเป็นการเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันนะครับ บางทีอาจจะทำไห้เราๆเห็นมุมมองใหม่ๆเกิดขึ้นก็ได้ หลายท่านในที่นี้ที่เป็นผู้ชาย อาจจะเคยบวชมาแล้ว ก็คงจะเข้าใจดีถึงความรู้สึก ก่อนหน้าที่ผมจะบวชนั้น ผมก็เป็นประชาชนเดินดินนี่แหละ เป็นคนต่างจังหวัด(กำแพง) ที่มาทำงานอยู่ที่กทม.ด้วยชีวิตที่ดิ้นรนต่อสู้ ปากกัดตีนถีบ เจอคนดีมั่ง คนเลวมั่ง คนหลอกลวง คนเอาเปรียบ สารพัดในกทม.ทุกอย่างรวมกันอยู่ที่กทม. แสงสี เสียงมันยั่วเย้าเร้าใจให้คนเสียคนใด้ง่ายมาก ประกอบกับวัยที่กำลังคึกคะนอง กำลังเที่ยวเตร่
แต่แล้ววันหนึ่งมีเสียงโทรศัพท์ โทรเข้ามา เป็นเสียงแม่ผมนั่นเอง จำได้ว่าตอนนั้น ผมกำลังเตะบอล อยู่กับเพื่อนๆกลุ่มนึง หลังจากไตร่ถามสารทุกสุขดิบกันพอควรแล้ว ปกติก็ไม่ค่อยจะโทรคุยกันเท่าไหร่นัก แล้วบ้านก็ไม่ค่อยจะได้กลับ คุยเสร็จแม่ผมก็เปรยว่า บวชให้แม่หน่อยนะลูก แม่ก็แก่แล้ว ใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว คำนี้ทำผมอึ้งไปพักใหญ่ เพราะว่าด้วยที่ผมอายุก็ 28 คือเลยบวชมานานพอสมควร ทุกปีแม่ผมจะต้องวอนให้ผมบวชให้ท่าน ประมาณก่อนเข้าพรรษาประจำ จนปีนี้ซึ่งก็คิดว่าคงจะหนีไม่พ้นแน่ เพราะปีที่ผ่านมาก็อ้างโน้นอ้างนี่จนไม่มีข้ออ้างแล้ว จึงจำเป็นต้องทำตามใจแม่ซักครั้ง
หลังจากได้คุยกันแล้ว ผมมีเวลาอีกประมาณ1เดือนก่อนที่จะต้องบวช ผมรีบสะสางงานที่ค้างไว้ แล้วเดินทางกลับไปบ้าน ผมกลับถึงบ้านด้วยใจ ที่ไม่ค่อยชอบนัก เพราะว่าที่บ้านผมมันเป็นบ้านนอกต่างจังหวัดธรรมดา ผมยังคิดเลยว่าผมจะอยู่ได้หรือเปล่า เพราะความที่ผมอยู่กทม..มาหลายปี เจอคนจอแจทั้งวัน เจอแสงสี พอมาอยู่บ้านก็เงียบสนิท (กลัวอดเที่ยวว่างั้นเถอะ)
ก่อนที่จะบวชผมต้องไปอยู่วัดก่อน(เป็นนาค) ท่องบทที่จะต้องเตรียมตัวเข้าพิธี ผมนึกในใจว่าทำไมมันช่างยากเย็นอย่างนี้ ภาษาบาลีมันช่างจำยากจำเย็นเหลือเกิน แค่ไม่กี่บรรทัดเอง ท่องไม่ได้(มาคิดอีกที ทีเพลงพวกศิลปินที่ร้องกัน บางที่ฟังครั้งเดียวก็ร้องตามได้แล้ว) ในใจคิดว่า เดี๋ยวบวชเสร็จเราก็ได้เที่ยวตามเดิมแล้ว แค่3เดือนเอง คิดอย่างนี้ทำให้ผมสบายใจ รีบกระตื้อรือร้นอ่าน ใช้เวลานานพอควร กว่าจะท่องบทไม่กี่บรรทัดนี้ได้ พอวันบวชมาถึง ตั้งแต่ผมเริ่มโกนผมเลยครับ ผมรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพิธี คือชาวบ้านที่มางานกัน เค้ากระตือรือร้น ที่จะเข้ามาช่วยงานผมมาก คนเถ้าคนแก่เต็มหมด ผมไปตรงไหนก็มีคนอยากคุย อยากถาม โดยเฉพาะแม่ผมก็ปลื้มเลยครับงานนี้
หลังจากเสร็จพิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยง ผมก็จะต้องมาทำพิธีในโบสถ์ (ก็เหมือนกับปฎิญาณ ว่าต้องการจะเป็นพระนั่นแหละ) พระที่วัดมีทั้งหมด11รูปด้วยกัน ต่างรอทำพิธีอยู่ในโบสถ์แล้ว มีเจ้าอาวาส พระอุปัชฌาย์ พระลูกวัด หลังจากที่ทำพิธีในโบสถ์แล้ว ผมสังเกตแม่ผมมีใบหน้าที่มีความสุขมาก ปลื้มมากที่ลูกชายได้บวช ท่านคงคิดว่าวันนี้ที่รอคอย ก็มาถึง ผมห่มเหลือง สะพายบาท มือสองข้างถือตรปัช (เขียนไม่ถูกต้องขออภัย) หลังจากทำพิธีในโบสถ์แล้ว ตอนนี้ผมเป็นพระเต็มตัวแล้ว เดินไปไหนก็จะมีคนที่จะกราบไหว้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐ เป็นผู้ที่บริสุทธ์ ที่จะต้องสืบทอดศาสนาต่อไป
หลังจากเดินออกจากโบสถ์แล้ว ผมไม่ได้มาตัวเปล่าครับ แต่ว่าได้ถือศีลมาทั้งหมด 227 ข้อมาด้วย ซึ่งตลอดการบวช ผมจะต้องรักษาไว้ให้อย่างดีทีเดียว แม้ผมจะเหยียบมดตายซักตัวสองตัว นั้นก็ถือเป็น อาบัติ แล้ว นี่คือข้อแตกต่างระหว่างคนกับพระ ถ้าคนธรรมดาก็คงจะไม่เป็นไร ผมรู้สึกต่างจากคนที่เคยดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ที่ กทม. อย่างสิ้นเชิง
ผมก้าวออกจากโบสถ์ มีคนรออยู่แล้วประมาณ 20 กว่าคนทั้งหญิงชาย (ส่วนมากเป็นคนเถ้าคนแก่) รอที่จะไส่ธูปไส่เทียนลงในย่ามที่คล้องแขนไว้ มีคนแก่ผู้ชาย2คนนอนลงราบกับพื้นติดกัน ผมงงครับ ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่แล้วก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง บอกว่า เหยียบเลยคุณๆๆ ผมเก่ๆกังๆอยู่นั่น เพราะคิดว่านี่เป็นคนเถ้าคนแก่ มีอายุมากกว่า อีกทั้งเป็นที่เคารพนับถือตั้งแต่เรายังเด็ก บางคนก็เอาผ้าผืนสีขาวสะอาดมารองพื้นไว้ เพื่อที่จะให้ผมเหยียบลงไป จะให้เราเอาเท้าไปเหยียบบนหลัง บนผ้านะหรือ มันรู้สึกขัดเขินอย่างไงบอกไม่ถูก เมื่อถูกขยั่นขยอมากเข้า ผมก็เลยต้องทำตาม มารู้ทีหลังว่า เขาเชื่อว่าคนที่ได้บวชใหม่ เพิ่งออกจากโบสถ์มาใหม่ๆ ถือว่าเป็นพระที่บริสุทธิ์ที่สุด (คือศีลยังไม่ขาดนั่นเอง) ฉะนั้นอานิสงค์ของศีลตรงนี้ จะทำให้เขาเหล่านั้น ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้หายจากอาการโรคปวดหลังปวดเอว และโรคอื่นๆได้
นั่นทำให้ผมเริ่มรู้สึกเลื่อมไสในพุทธศาสนามากขึ้น จากที่คิดว่าเฉยๆ ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ช่วงเวลาที่ครองผ้าเหลืองอยู่นั้น ก็ไช่ว่าจะสบายเหมือนที่คิดไว้นะครับ ประกอบกับเป็นช่วงที่เข้าพรรษาที่เข้มงวดเรื่องธรรมวินัยอย่างมาก ใหนจะเรื่องกิจนิมนต์ต่างๆ ต้องทำวัตรเช้า เย็นทุกวัน ทำบุญทุกวันพระ ไหนจะต้องท่องบทสวดต่างๆ (ซึ่งมีมากมายหลายเท่ากว่าที่ตอนก่อนบวชมาก) ต้องเตรียมตัวสอบ นวกะ ต้องเตรียมตัวเทศน์โปรดโยม รวมถึงเทศน์มหาชาติ มากมาย ต้องดูแลวัด เช่น กวาดถูบริเวณวัด ที่วัดตามต่างจังหวัด จะไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนัก ไม่เหมือนในเมือง อยู่กันแบบสมถะ ข้าวปลาอาหารก็ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ เหมือนเป็นคนธรรมดา เวลาฉันก็เป็นเวลา จะมาฉันพร่ำเพรื่อก็คงไม่ได้ (แรกๆหิวแถวตาย)
แต่น่าแปลกว่า ในใจกลับสงบ เยือกเย็น รู้สึกเป็นสุขอย่างไงบอกไม่ถูก เวลาไปบิณฑบาตรตอนเช้า ตลอดทางมีคนตักบาตร เข้ามากราบไหว้ แสงแดดอ่อนๆ ทั้งดอกไม้กลิ่นหอมที่ชาวบ้านเขาบรรจงทำมาไห้เป็นอย่างดี ข้าวที่กรุ่นไปด้วยควัน ที่เพิ่งออกมาจะออกหม้อใหม่เลย ทั้งแกง ทั้งต้ม ที่เข้าเหล่านั้นทำมาเป็นอย่างดี บรรจงตักไส่บาตร สังเกตุสีหน้าที่คนใส่บาตรแล้ว เขารู้สึกถึงความเต็มใจ และอิ่มเอมใจที่ได้เป็นผู้ให้ และเราเป็นผู้รับก็จะต้องไห้พร รู้สึกได้ถึงความเอื้ออาทรกัน ของมนุษย์เรา ที่แม้แต่เงินมายมายก็หาซื้อไม่ได้
นี่เป็นบรรยากาศทุกเช้า เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชุมชนที่ห่างไกลสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ หากแต่เปี่ยมด้วยแรงศรัทธา จิตใจที่เต็มไปด้วยความเป็นมิตร ความอาทรกัน วันไหนฝนตก ไปเดินบิณฑบาตรไม่ได้ วันนั้นจะมีชาวบ้านมาหาถึงที่วัดเลย พร้อมกับข้าว แกง และอื่นๆมาด้วย ด้วยว่ากลัวว่าพระจะไม่มีอะไรฉัน
นี่แหละครับ วิถีชีวิตที่ต่างจังหวัด ในเมืองอย่างกรุงเทพอาจจะหาดูยากซักหน่อย ถึงแม้ในปัจจุบัน เราจะเห็นพระที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เช่นเดินห้างซื้อซีดี ซื้อเครื่องเสียง แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนน้อย ซึ่งโดยส่วนตัว ก็คิดว่าไม่ค่อยเหมาะสม แต่เราชาวพุทธทั้งหลายก็ขอให้มีจิตใจที่เข้มแข้ง นับถือในพระพุทธศาสนาต่อไป อย่างน้อยการได้เป็นผู้ให้ และมีพระรัตนะตรัยอยู่ในใจแล้ว เราก็จะเป็นสุขแน่นอน หาเวลาว่างวันพระเข้าไปทำบุญซักวัน ถึงจะไม่บ่อยนักก็ยังดี พาลูกพาหลานไปด้วย ปลูกฝังตั้งแต่เล็กเลย แล้วเด็กจะซึมซับแต่สิ่งดีๆแน่นอน
ในระยะที่ได้ครองผ้าเหลืองอยู่เป็นเวลา1พรรษา ผมรู้สึกว่าผมได้อะไรมากมายโดยเฉพาะทางใจ ถึงว่าทำไมแม่ผมถึงรบเร้าให้ผมบวชให้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ดีนี่เอง เพราะแม่ปราถนาดีกับลูกเสมอ
สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกก่อนทิ้งท้ายนี้ก็คือ การทดแทนพระคุณพ่อ-แม่ที่ดีที่สุด คือการได้บวช แม้จะเป็นการตอบแทน เพียงแค่เสี้ยวเดียวของพระคุณท่าน ที่ไห้กำเนิดเรามา แต่นั่นเป็นความภูมิใจที่สุด ที่เราจะสามารถมอบให้ท่านได้ ผู้เป็นชายได้เกิดมาแล้ว และได้บวชทดแทนบุญคุณ ถือว่าเป็นคนเต็มคนแล้ว ได้บวชซัก1-2 พรรษา ก็ถือเป็นกุศลอย่างมาก ที่สำคัญคือเราจะต้องเคร่งครัดในกฎวินัย การเป็นพระด้วย ศีล227ข้อ ที่พระพุทธองค์บรรญัติไว้ให้รักษาไว้ให้ได้มากที่สุด แค่นี้เราก็จะได้รับความนับถือจากสาธุชนทั่วไปแล้วล่ะครับ หากรักษาไม่ได้ หักห้ามตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ต่างจากปุถุชนทั่วไปเลย
ถ้าเราเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้แล้ว เราจะได้ประโยชน์อย่างมากมายในการดำรงชีวิตเลยล่ะครับ......
.......
บทความจาก
http://www.budpage.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น