7.16.2555

ນິທານສອນໃຈສຳຫຼັບຄົນທີ່ມີຄວາມຮັກ ^_^


ມູມມອງຂອງພຣະອະຣະຫັນ

ພຣະອະຣະຫັນຖືວ່າ ຮ່າງກາຍຂອງຄົນເຮົາປຽບເໝືອນເຮືອຮົ່ວ ທີ່ເຮົາໃຊ້ໂດຍສານຂ້າມແມ່ນ້ຳຊົ່ວຄາວ ໂດຍຄິດວ່າເຮືອບໍ່ແມ່ນຂອງເຮົາ ແລະ ເຮົາບໍ່ໄດ້ເປັນເຈົ້າຂອງເຮືອ. ໃນລະຫວ່າງທີ່ເຮົາຢູ່ໃນເຮືອ ເຮົາກໍ່ຮັກສາເຮືອຄືອັດຮູ້ຮົ່ວຂອງເຮືອ ປະຄັບປະຄອງເພື່ອບໍ່ໃຫ້ເຮືອລົ້ມ ເພື່ອຫວັງໃຫ້ເຮືອພາເຮົາໄປເຖິງຝັ່ງ ເມື່ອເຖິງຝັ່ງແລ້ວເຮົາກໍ່ຖີ້ມເຮືອໜີ ໂດຍບໍ່ມີຄວາມອາໄລອາວອນເຮືອເລີຍ ແລະ ກໍ່ບໍ່ມີໃຜຈັກຄົນເລີຍທີ່ຈະແບກເຮືອໄປນຳ. ເພາະສະນັ້ນ, ເຮົາຈິ່ງບໍ່ເກີດຄວາມທຸກເພາະເຮືອ. .....โอวาทธรรมโดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

เหตุใดท้าวสักกะเทวราชแปลงพระองค์

เหตุใดท้าวสักกะเทวราชแปลงพระองค์
ให้เป็นคนชรายากเข็ญเพื่อใส่บาตรพระมหากัสสปะ
++++++++++++++++++++
.....ท้าวสักกะเทวราชมีพระประสงค์จะถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปะ ด้วยเหตุว่าเมื่อสมัยที่ท่านเป็นสมเด็จพระอมรินทราธราช เสวยทิพยสมบัติเป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์มาเป็นเวลาช้านาน ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่บางองค์ ซึ่งมีรัศมีและมีความสวยงาม ทั้งมีปราสาทวิมานประเสริฐวิเศษกว่าตนผู้มีอำนาจใหญ่กว่า จึงทรงบังเกิดความมหัศจรรย์ในพระทัย ครุ่นคิดสงสัยอยู่ว่า
“....เป็นเพราะเหตุใดฤา เทวดาผู้มาอุบัติใหม่เหล่านี้จึงมีปราสาทวิมานมีรัศมีและความสง่างามยิ่งไป กว่าตัวเราผู้เป็นใหญ่ เรานี้ไซร้คงมีแต่อำนาจเป็นใหญ่เหนือเขาเพียงอย่างเดียว เมื่อเหลียวแลดูรัศมีมีปราสาทวิมานและความสง่างามแล้วก็ดูด้วยกว่าเทวดาผู้ มาอุบัติใหม่ น่าอับอายเป็นนักหนา....”
ในที่สุดก็ทรงทราบเหตุผลตามความเป็นจริงว่า......?
…..การที่เป็นเช่นนี้ ก็ด้วยเหตุที่เทวดาผู้มาอุบัติใหม่ได้สร้างกุศลไว้ในพระพุทธศาสนา มีโอกาสที่เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์เจ้าแล้วมี จิตผ่องแผ้วเลื่อมใสสร้างบุญกุศลไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อมาอุบัติเป็นเทวดาอยู่ในความปกครองของเราจึงมีทิพยสมบัติวิเศษมากมาย และท่านเป็นผู้โชคร้าย เป็นมนุษย์นอกพระพุทธศาสนา สร้างบุญกุศลไว้นอกพระพุทธศาสนา แม้ว่ามีตำแหน่ง มียศใหญ่ แต่มีทิพยสมบัติด้อยน้อยกว่า เมื่อท่านรู้ได้อย่างแจ้งชัดแล้วว่ากุศลอันใดที่บุคคลได้กระทำในเวลาที่อยู่ ในพระพุทธศาสนา กุศลกรรมนั้นประเสริฐยิ่งนัก มีอานิสงส์ไพบูลย์ยิ่งใหญ่กว่ากุศลกรรมที่ทำในเวลาที่ว่างจากพระพุทธศาสนา จึงทรงตั้งพระทัยจักสร้างบุญกุศลในพระพุทธศาสนาให้จงได้บ้าง....

เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว ทักษิณาทานชื่อว่าน้อย ย่อมไม่มี (พุทธภาษิต)
++++++++++++++++++++++

เหตุผลของผู้หญิง

เหตุผลของผู้หญิง
ผู้หญิงมักมีเหตุผลที่ฟังขึ้นเสมอ
*********************
บ่ายวันหนึ่งระหว่างหญิงสาวสวยกำลังซักผ้าอยู่ริมน้ำนั้นแปรงซักผ้าคู่มือก็หลุดมือจม
ลงน้ำไป หญิงสาวสวยก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ริมน้ำ
ทันใดนั้นเองเทวดาก็ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วถามว่า ' มีปัญหาอะไรรึ '
' แปรงซักผ้าดิฉันตกลงไปในน้ำแล้ว และตรงนี้น้ำลึกมาก
ต่อไปดิฉันจะเอาอะไรไปซักผ้าหาเลี้ยงลูกสามีได้หละท่าน '
เทวดาได้ยินดังนั้นก็ดำน้ำลงไปสักพักแล้วขึ้นมาพร้อมกับแปรงซักผ้าทองคำ
' เอ้าแปรงซักผ้านี้ใช่แปรงซักผ้าของเจ้าใช่รึไม่ ?' เทวดาถามหญิงสาวสวย
' ไม่ใช่ค่ะ '
เทวดาก็ดำน้ำลงไปอีกครั้งกลับขึ้นมากับแปรงซักผ้าเงิน
' เอ้าแล้วแปรงซักผ้านี้หละใช่ของเจ้ารึไม่ ?'
' ไม่ใช่ค่ะแปรงซักผ้าของดิฉันทำจากเหล็กมีด้ามไม้เก่าๆ ไม่ใช่แปรงซักผ้าเงิน แปรงซักผ้าทอง '
เทวดาจึงดำลงน้ำไปอีกครั้งแล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับแปรงซักผ้าเหล็กคู่มือหญิงสาวสวย
' เอ้าแปรงซักผ้าของเจ้า แต่เราเห็นเจ้าเป็นคนดีซื่อสัตย์ไม่โกหก
เราจะให้แปรงซักผ้าเงิน กับแปรงซักผ้าทองคำแก่เจ้าไปด้วย
เพื่อตอบแทนในการที่เจ้าเป็นคนดี '
หญิงสาวสวยจึงรับแปรงซักผ้าไว้แล้วกลับบ้านด้วยความสุข
หนึ่งเดือนต่อมา ............
ระหว่างที่หญิงสาวสวยกำลังเดินเล่นอยู่ริมน้ำพร้อมกับสามีของเธออยู่นั้น
สามีก็ลื่นตกน้ำไป หญิงสาวสวยทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้ริมน้ำ
ทันใดนั้นเทวดาองค์เดิมก็ปรากฏกายออกมาอีกครั้ง
' เอ้าคราวนี้เจ้ามีปัญหาอะไรรึ '
' สามีดิฉันลื่นตกน้ำไปเมื่อกี้นี้ค่ะ '
ได้ยินดังนั้นเทวดาจึงดำน้ำลงไป และขึ้นมาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่เหมือนกันกับพี่เคน ธีรเดช วงษ์พัวพันธุ์
ตั้งแต่หัวจรดเท้า ' ผู้ชายคนนี้ใช่สามีเจ้ารึไม่ ?'
'ใช่แล้วค่ะ ' หญิงสาวสวยตอบทันที
เทวดาจึงโกรธมาก เพราะเห็นว่าหญิงสาวสวยโกหก และไม่ซื่อสัตย์เหมือนก่อน
' ขออภัยด้วยค่ะท่านเทวดา มันเป็นการเข้าใจผิดค่ะ '
หญิงสาวสวยรีบชี้แจงทันใด
'ถ้าเกิดดิฉันตอบว่าไม่ใช่ ดิฉันเดาว่าท่านก็คงจะลงไปในน้ำอีกครั้ง
แล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับผู้ชายที่เหมือนกับ มาริโอ้
และเมื่อดิฉันปฏิเสธอีกท่าก็คงจำดำลงไปอีกครั้งแล้วนำสามีดิฉันตัวจริงขึ้นมา
สุดท้ายท่านก็คงจะให้ผู้ชายอีก 2 คนดิฉันด้วย
เพื่อตอบแทนที่ดิฉันไม่โกหก
แต่ว่า .... ดิฉันเป็นแค่หญิงสาวสวยจะมีปัญญาอะไรไปหาเงินเลี้ยงสามีพร้อมกัน 3 คนได้หละค่ะ (รับไม่ไหวค่ะ ได้ทีละคน)
ดิฉันจึงจำเป็นต้องตอบว่าใช่ตั้งแต่แรก '
เทวดา ' เออ!!!จริงของมึง '
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อใดที่ผู้หญิงโกหก
แสดงว่าหญิงผู้นั้นจะต้องมีเหตุผลจำเป็นในการโกหก และมีเจตนาดีอย่างแน่นอน

นิทานสอนใจ เรื่อง วิธีการหาคู่แท้


*********************
..กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว …มีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งใกล้กับสนามหญ้าอันกว้างใหญ่
ทันใดนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งก้อถามขึ้นมาว่า
ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ ผมสงสัยจังเลยว่า เราจะหาคู่แท้เราเจอได้ไงคับ อาจารย์บอกผมหน่อยได้ไหม คับ?
อาจารย์ : อืม มันเป็นคำถามที่ยากนะ ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถาม ที่ง่ายเหมือนกันนะ
ลูกศิษย์ : อืม?….งงอะไม่เข้าใจ
อาจารย์ : โอเค งั้น เธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ มีหญ้าเยอะแยะ เลยใช่ไหม เธอลองเดิน ไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด แล้วเด็ดมาให้ครูสิ ต้นเดียวเท่านั้นนะ แต่ว่า เวลาเธอเดินเนี่ย เธอต้องเดินไป ข้างหน้าอย่างเดียวนะ ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม
ลูกศิษย์ : ได้เลยครับ จาน รอสักครูน่ะครับ (ว่าแล้ว ก้อวิ่งตรงไปยังสนามหญ้า) หลังจากนั้นไม่นาน….
ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับจาน
อาจารย์ : อืม…แต่ทำไมครูไม่เห็นต้นหญ้าสวย ๆ ในมือเธอเลยหละ
ลูกศิษย์ : อ๋อ คืองี้ครับจาน ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวย ๆ เนี่ย ผมก้อก้อคิดว่า เออ เดี๋ยว ก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้ ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อย รู้ตัวอีกที มันก็สุดสนามหญ้าแล้ว ครับ จะเดินกลับก้อไม่ได้ เพราะจานสั่งห้ามไว้
อาจารย์ : นั่นแหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงหละ …
ต้นหญ้า ก็คือ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือ คนที่คุณชอบ หรือคนที่ดึงดูดคุณนั่นแหละ ส่วนทุ่งหญ้า ก็คือ เวลา … เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ แล้ว คิดว่า คงจะมีที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าคุณ มัวแต่ เปรียบเทียบ คุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่าลืมว่า…”เวลาไม่เคยย้อนกลับ”
ใครเคยเจอเรื่องแบบนี้ กับชีวิตจริงมั่งไหม :)
+++++++++++++++++++++++++++

ອົງ​ແຫ່ງ​ທັມມະ​ກະທຶກ


+++++++++++++++
1. ສະ​ແດງ​ທັມ​ໄປ​ຕາມ​ລຳດັບບໍ່ຕັດ​ຕອນ​ໃຫ້​ຂາດ​ຄວາມ.
2. ອ້າງ​ເຫດຜົນ​ແນະນຳ​ໃຫ້​ຜູ້​ຟັງ​ເຂົ້າ​ໃຈ
3. ຕັ້ງ​ຈິດ​ເມດ​ຕາປາ​ຖະໜາ​ໃຫ້​ເປັນ​ປະ​ໂຫຍ​ດ​ແກ່​ຜູ້​ຟັງ
4. ບໍ່ສະ​ແດງ​ທັມ​ເພື່ອເຫັນ​ແກ່​ລາບ
5. ບໍ່ສະ​ແດງ​ທັມ​ໂດຍ​ກະທົບຕົນ​ ແລະ​ ຄົນ​ອື່ນ

แม่อีหนูชูสองนิ้ว


++++++++++++++
มีผัวเมียคู้หนึ่ง แกมีลูกชายสองคนยังเป็นเด็กอยู่ ผัวเมียคู่นี้มีฐานะยากจนมาก แกอาศัยอยู่ที่กระท่อมหลังโกโรโกโสซึ่งอยู่ติดกับลำคลอง ผัวเมียคู่นี้เป็นจอมขี้เกียจทั้งคู่ ผัวชอบเล่นการพนันตีไก่ ส่วนเมียชอบไปเที่ยวนินทาคนโน้นคนนี้อยู่ที่บ้านคนอื่น ผัวเมียคู่นี้มักไม่ยอมเสียเปรียบต่อกัน จึงมักเกิดสงครามกลางบ้านสม่ำเสมอ ขอสรุปว่า
พอผัวเตะป๊าบหนึ่ง เมียก็ด่าทีหนึ่ง
ผัวเตะทีหนึ่ง เมียก็ด่าอีกที
ถ้าผัวเตะสองทีซ้ำกัน เมียก็ด่าสองทีซ้ำกันเช่นกัน
คือไม่มีใครยอมเสียเปรียบใคร เช้าตรู่วันหนึ่ง เมียกำลังต้มน้ำ หุงข้าว ลูกวิ่งไปขอน้ำร้อนจากแม่ เพื่อประคมประหงมไก่ เพราะพ่อเมาเหล้าไปตีไก่เมื่อคืนจึงไม่สามารถทำเองได้ ทำให้แม่อารมณ์เสียตบหน้าลูกจนร้องไห้ ผัวที่กำลังนอนหลับได้ยินเสียงลูกก็ลุกพรวดเหวี่ยงขาพลั่กเข้าที่สีข้างของ เมีย พอดีเมียยกศอกขึ้นรับ ผัวเตะถูกศอกเมียเจ็บหลังเท้า จนต้องทำหน้าอูมๆชอบกล เมียใช่ตวักที่ถืออยู่ในมือ ฟาดโป๊กเข้าที่หัว จนตวักหักเป็นสองท่อน ผัวจึงใช้กำปั้นต่อยซ้ายขวาอุตลุด จนขี้เถ้าฟุ้งราวเกิดพายุใต้ฝุ่น เล่นเอาเมียต้องล้มลุกคลุกคลาน แต่ปากก็ด่าฉอดๆๆๆๆ ซึ่งคำด่าของนางนั้นล้วนหยาบๆคายๆจนไม่สามารถจะเอามาบรรยายลงที่นี้ได้ ลูกชายทั้งสองคนพากันร้องไห้ไปหลบอยู่ที่หลังกระท่อม สองผัวเมียก็ตบตีกัน เมียถอยหนี ผัวก็รุกตามมาเรื่อย จนมาถึงฝั่งคลอง เมียก็ไม่ยอมเลิกด่า ผัวจึงซัดโครมเข้าอย่างแรง ส่งแม่เมียลงตูมไปในลำคลอง เมียโผล่หัวมาได้ก็ด่าในน้ำอีก ยืนด่ารัวฉอดๆๆๆๆราวกับปืนกลอยู่ในน้ำ ราวกับแสกงว่าไม่กลัวแกเว้ย ผัวจึงไปคว้าต้นกล้วยที่ตัดไว้ ต้นขนาดเท่าปลีน่องได้ ใช้ฟาดตูมใส่เมีย แต่เมียก็ดำน้ำหลบ ผัวเลยตีถูกแต่น้ำแตกกระจายดังซ่าๆ และพอได้จังหวะเมียก็โผล่หัวขึ้นมาด่าอีก ผัวก็กระหน่ำตีด้วยความแค้น เลยถูกเข้าอย่างจังหลายที ทำให้นางเมียจมหายเงียบไปใต้น้ำ ผัวจึงวางกล้วยที่หักยู่ยี่ แล้วยืนดูด้วยความวิตก เกรงว่าเมียจะตายจริงๆ เกรงจะเกิดคดีขึ้นโรงขึ้นศาล พอดีมีมือของเมียโผล่ขึ้นมา “ชูสองนิ้ว” ผัวก็เข้าใจว่า เมียคงจะบอบช้ำหนักและกำลังจะตาย จึงชูสองนิ้วบอกฝากลูกชายสองคนด้วยความอาลัยเยี่ยงแม่ทั้งหลายที่มีความ อาลัยต่อลูก ผัวจึงกระโดดตูมลงไปจัดการอุ้มเมียขึ้นมาบนฝั่ง เพราะคลองนั้นเป็นคลองที่ลึกพอควร เมียจะว่ายน้ำหนีไปฝั่งโน้นก็ว่ายไม่เป็น ยืนด่าอยู่ริมน้ำ ยืนด่าอยู่ริมน้ำ และถูกตีจนถอยร่นไปในส่วนลึกของคลอง
___ผัวเมื่ออุ้มเมียขึ้นมาได้ก็จัดการนวดเฟ้น ปากก็พร่ำว่า “ไม่เป็นไรหรอกแม่ไอ้หนู พี่เห็นใจเจ้าแล้ว ที่เจ้ารักลูก ห่วงลูก อุตส่าห์ชูสองนิ้วเพื่อบอกให้พี่เลี้ยงลูกทั้งสองคนด้วย ถ้าน้องตาย” ยังไม่ทันขาดคำ นางผงกศีรษะขึ้นพูดว่า “ที่ข้าชูสองนิ้ว ไม่ใช่ข้าฝากลูกสองคนหรอก ฮึ” “งั้นเองชูทำไมว๊ะ” ผัวถาม “นิ้วหนึ่งข้าด่าพ่อมึง อีกนิ้วหนึ่งด่าแม่มึง” เท่านั้นเองผัวก็ผลักร่างของเมียออก ลุกขึ้นยืนแล้วเตะโครม เมียก็กลิ้งลงคลองอีกครั้งหนึ่ง
++++++++++++++++++++
นิทานเรื่องนี้สอนใจว่า....
การอยู่ร่วมกันอย่างเอาเปรียบกัน ต่างมีทิฎฐิมานะใส่กันและกันนั้นย่อมนำมาแต่ความทุกข์ตลอดกาล

ลักษณะของคน



1. ไม่รู้ไม่ชี้
: เป็นลักษณะของคนไม่รับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น
2. ไม่รู้แล้วชี้
: เป็นลักษณะของคนอวดี,คนหลงเป็นภัยแก่ตนและต่อผู้อื่น
3. ไม่รู้แล้วไม่ชี้
: เป็นลักษณะของคนซื่อตรง รู้ตัวทุกอิริยาบถ
4. รู้แล้วไม่ชี้
: เป็นลักษณะคนเห็นแก่ตัว , คนใจดำ ไม่น่าคบหาสมาคม
5. ชี้แล้วไม่รู้
: เป็นลักษณะของคนขอไปที คนยังไม่มีความรู้จริง
6. รู้แล้วชี้
: เป็นลักษณะของคนบัณฑิต นักปราชญ์ ครู ผู้ประเสริฐ สัตบุรุษ

7 สิ่งที่ทำให้หญิงเบื่อชาย


1. ต่อมรับรู้อารมณ์ "เสื่อม"
ผู้ชาย ชอบยึดมั่นว่า ตัวเองนั้นเป็นเพศที่ใช้เหตุผล มากกว่าอารมณ์ จึงเห็นว่า การแสดงอารมณ์ของผู้หญิงไม่ว่า จะเป็นอาการน้อยใจ หึง โกรธ คิดมากนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ จึงทำตัวเฉยเสีย ไม่สนใจ คิดไปเองว่า เป็นได้ ก็หายเอง ... อ้าว ! คุณคะ ถ้าเค้าไม่รักคุณ เค้าจะน้อยใจ จะหึง จะโกรธคุณเหรอคะ ... ระวังนะคะ ถ้าแฟนสาวของคุณเริ่มมีอาการ เฉยๆ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ยิ้ม รับง่าย ๆ ไม่ว่าคุณจะไปทางไหนล่ะก้อ ขอให้รับทราบได้เลยว่า เจ้าหล่อนหมดรักคุณไปเรียบร้อยแล้วค่ะ

2. ต่อมเสมอต้นเสมอปลาย "วาย"
ตอน จีบใหม่ ๆ เอาใจสารพัด เช้าถึง เย็นถึง จะทำอะไร จะไปไหนเนี่ย "อย่าลืมทานข้าวนะจ๊ะ" ... "อย่านอนดึกนะจ๊ะ" ... จะหันไปทางไหน ตามพันแข้งพันขา เรียกได้ว่า เป็นช่วงทองของคุณผู้หญิงเลยนะคะ เพราะหลังจากที่คุณตกลงปลงใจกับพ่อหนุ่มตัวดีเรียบร้อยแล้ว ขอให้พึงสังวรได้เลยว่า จะไม่ได้รับการปฏิบัติหรือ เอาใจเยี่ยงนี้อีกแล้ว เพราะต่อมความเสมอต้นเสมอปลายของพ่อตัวดีนั้น วาย ไปซะแล้ว

3. เริ่มแสวงหา "งู" มาเป็นสัตว์เลี้ยง
ก็ เข้าใจนะคะว่า อาการเจ้าชู้ กับ ผู้ชายน่ะเป็นของคู่กัน แหม ... อยากให้เราปลง ทีเราหึง ซึ่งเป็นอาการปกติของผู้หญิง ก็มาว่าเราไร้สาระ ... อดไม่ได้หรอกค่ะ ช่วงเดือนแรก ไปไหนมาไหน กินอะไร นั่งมองแต่เรา จนเราเขิลลลล ... แต่นาน ๆ ไปชัก สอดส่ายสายตาไปทั่ว ถ้าไม่เรียกให้รู้สึกตัว ก็มองตามไปนู่น แม่สาวสายเดี่ยวที่เพิ่งเดินสวนกันไป นี่มันอะไรกันจ๊ะ ไหนว่าไม่อยากให้หึง แล้วทำตัวหัวงูทำไม ?

4. ต่อมวิเคระห์เหตุผล ผิดปกติ
ไม่ รู้ไปฝังหัวความเชื่อกันมาจากไหนกันว่า "ผู้ชายชอบใช้เหตุผล ผู้หญิงชอบใช้อารมณ์" ยันกันได้เลย ดิฉันว่า เหตุผลที่พวกผู้ชายเค้าว่า ก็แค่ เหตุผลที่เค้าคิดขึ้นมาเองมากกว่า ยกตัวอย่างง่าย ๆ ผู้หญิงซื้อเสื้อผ้า ก็ว่า ... ไร้สาระ อ้าว !! ที่พวกคุณบ้า กอล์ฟ คอมพิวเตอร์ รถกระป๋อง นั้น มีสาระมาก ๆ ล่ะสิคะ คิดว่าคุณผู้หญิงบางท่าน บางครั้งต้องเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องถามตัวเองว่า เอ๋ ?? นี่ชั้นไร้เหตุผล หรือ เค้าไร้สาระกันแน่นะ ทำไมล่ะคะ ต่างตนต่างมีงานอดิเรกที่ชอบ มีสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ การที่คุณจะตีค่าว่า สิ่งที่อีกคนนั้นเป็นสิ่งไร้สาระนั้น ไม่แสดงว่าคุณใจแคบไปหน่อยเหรอคะ ถ้าคุณผู้ชายทั้งหลายคิดว่าตัวเองเป็นเพศที่มีเหตุผลแล้วไซร้ ดิฉันว่าน่าจะลองคิดตริตรอง และเปิดใจกว้างกว่านี้อีกสักนิด .. จะน่ารักมาก ๆ

5. ชอบวางอำนาจ ใจร้อน
สงสัย จะเข้าใจคำว่า "ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง" ผิด ... จึงได้ชอบออกคำสั่ง ผมต้องเป็นผู้นำ สิ่งที่ผมคิดเนี่ย ถูกที่สุดแล้ว !! เอ๋ ?? เข้าใจไรผิดไปเปล่าคะ (O_o) สำนวนข้างต้นเนี่ย มาจากธรรมชาติของช้างที่ว่า เวลาเดิน ช้างจะยกเท้าหลังก่อน แล้วเท้าหน้าจึงก้าว ... ดังนั้นโบราณเค้าหมายความว่า ผู้หญิงน่ะ เป็นผู้นำ เจ้าค่ะ มีอะไรต้องฝังเพศแม่บ้าง เพศหญิงเนี่ย เป็นเพศที่มีความละเอียด รอบคอบ ค่อยคิดค่อยทำ ไม่บ้าเลือด นี่ไงล่ะคะ ผลสำรวจถึงได้ว่า ผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย ก็ผู้ชายน่ะใจร้อน บางครั้งเลยเอาปากไปแหย่เท้า ผู้มีอำนาจ เลยซี้ม่องไปซะก่อนวัยอันควร ผู้หญิงเราบางครั้งก็ระอากับ อาการใจร้อน ยอมไม่ได้ของคุณ ๆ เหมือนกันนะคะ ... ขอบอก

6. ลำเอียง เข้าข้างตัวเอง
คิด ว่าข้าเก่ง ... ข้าแน่ ... ผู้ชายชอบคิดเข้าข้างว่าตัวเอง เก่ง เจ๋ง ... แหม ไม่อยากจะพูดก็ต้องพูด เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชายหลายคนเนี่ย มาจากการมีคู่คิด คู่เคียงที่ดีนะเจ้าคะ แต่ด้วยความเป็นผู้หญิง ก็ไม่อยากจะล้ำหน้า เดี๋ยวจะโดนใบแดงออกจากสนาม ... ก็ได้แต่ เป็นผู้สนับสนุน ปิดทองหลังพระ โดยไม่มีใครรู้ ... จนบางครั้งทำให้พวกหนุ่ม ๆ ลืมตัวไปว่า กว่าจะมีวันนี้ เพราะมีใครคอยช่วยหนุนหลัง คอยเป็นกำลังใจ ข้าได้ดี เพราะข้าเองนี่แหละ อันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง ...

สมัย ที่ บิล คลินตัน ยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อครั้งไปเยี่ยมประชาชนที่รัฐๆ หนึ่ง ขณะนั่งในรถและกำลังเดินทางกลับ ก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ยืนโบกมือให้ และภรรยาของเขา ฮิลลารี่ คลินตัน ได้โบกมือตอบ จึงถามไปว่า
บิล : นั่นใคร ?
ฮิลลารี่ : อ๋อ แฟนเก่าชั้นเอง เค้าเป็นเจ้าของฟาร์ม อยู่ที่นี่
บิล : (หัวเราะ) นี่ถ้าคุณตกลงแต่งงานไปกับเค้า ตอนนี้คุณก็คงได้เป็นแค่ เมียเจ้าของฟาร์มล่ะสิ
ฮิลลารี่ : ไม่หรอก ถ้าชั้นแต่งงานกับเค้า ประเทศเราจะมีประธานาธิบดี ที่อดียเคยเป็นเจ้าของฟาร์มต่างหาก
บิล : !!???!!??!!

ว่า กันว่า ผู้นำหลายคนในโลกนี้ ล้วนประสบความสำเร็จได้ เนื่องจากมีผู้หญิงเป็นแรงหนุนที่ดี แต่สงสัยว่าบรรดาคุณผู้หญิงเหล่านี้ จะเห็นว่า บรรดาผู้ชายล้วนหลงตัวเอง และไม่เห็นบุญคุณ สมัยนี้เราจึงเห็น ผู้หญิง หลายคนก้าวขึ้นมามีบทบาทในตำแหน่งผู้นำกันเอง ไม่ว่า จะเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือ ผู้นำประเทศก็ตาม

7. ต่อมรัก "เพื่อน" แตก !!
ประการ ที่ 7 นี้เป็นสิ่งที่คุณผู้หญิงทั้งหลายต่างทราบกันดี ว่าผู้ชายของเรานั้น ล้วนรักเพื่อนมากมายขนาดไหน แล้วจะไม่ให้เราเบื่อได้ไงล่ะคะ ก็นัดเราอยู่ดี ๆ พอเพื่อนโทรมา กลับเลื่อนนัดเราซะได้ หรือไม่เวลาเราชวนไปไหน บอกไม่ว่างร่ำไป แต่พอเพื่อนโทรมากริ๊งเดียว ถึงกับแล่นออกไปในทันที ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ ขนาดนี้ ทีหลังก็ให้เพื่อนนั่นแหละค่ะ มาพัดมาวี มาเอาอกเอาใจแทนแล้วกัน แหม ... พูดแล้วหงุดหงิดใจ

เอาแค่เบาะ ๆ แค่ 7 ข้อแล้วกันนะคะ เพราะเค้าว่าพูดหญิงน่าเบื่อแค่ 7 ข้อ เราก็เบื่อคุณผู้ชายแค่ 7 ข้อ พอหอมปากหอมคอ อย่าเคืองกันแล้วกันนะ...พ่อคุณ ไหน ๆ คุณก็ว่าพวกเราว่า ขี้บ่น อยู่แล้วนี่นา บ่นแค่นี้ก็อย่าถือเลย ถือว่าเป็นแค่อารมณ์เล็ก ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งแล้วกันจ๊ะ

***ชีวิตเหมือน..น้ำค้าง***


ชีวิตเปรียบเหมือนน้ำค้างยามรุ่งอรุณ
เราตื่นขึ้นมาลุกไปเดินจงกรม
มองเห็นน้ำค้างใสพราวอยู่บนยอดหญ้า
แต่พอเดินวงกลับมาอีกรอบ
น้ำค้างบนยอดหญ้าอันตรธานไปแล้ว

ชีวิตเหมือนพยับแดดที่เต้นเร่า พราวแพรวระยิบระยับ
ใครที่ขับรถไปตามถนนในช่วงเวลากลางวัน
จะมองเห็นว่าเหมือนมีทะเลขวางอยู่ข้างหน้า
เห็นพยับแดดวับวามอยู่เต็มด้านหน้า
แต่พอขับไปถึงที่เข้าจริงๆ
กลับพบว่าพยับแดดเหล่านั้นไม่มีตัวตนเสียแล้ว
ชีวิตของเราก็เช่นนั้น
ความหนุ่มความสาวเราอย่าไปหลงครอบครองยึดติด
เผลอไม่กี่ปีตีนกาก็ขึ้นแล้ว
เห็นไหมว่า ชีวิต ร่างกาย มันเปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งกว่าพยับแดด

ชีวิตเหมือนรอยขีดบนผิวน้ำ
หากเราลองเอาไม้ขีด ที่ผิวน้ำเร็วๆ
ก็จะเห็นน้ำแหวกเป็นเส้นเป็นแนวตามรอยไม้
แต่เมื่อยกไม้ขึ้นมาเพียงชั่วพริบตาน้ำก็กลืนกันสนิท
ไม่มีเส้นให้เห็นอย่างเดิมอีกแล้ว ชีวิตแสนสั้นเช่นนี้เอง

ดังนั้น หากยังมีชีวิตอยู่เป็นปกติดี จะทำความดีอะไรก็ต้องรีบทำ
เพราะหากประมาทพลาดพลั้งไปเพียงแวบเดียว
ชีวิตอาจปลิดปลิวหายไปได้ทันที
ชีวิตสั้นอย่างนี้ ความตายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย

ธรรมทานพุทธทาสภิกขุ

นิพพานเป็นของไม่ยาก


สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนไว้มีความสำคัญดั่งนี้
การวางจิตให้มีกำลังใจตัดกิเลสเพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานเป็นของยาก ถ้าไม่ตั้งใจตัดจริงๆก็บรรลุได้ยาก คนทำความเพียรเพื่อพระนิพพาน ก็อุปมาเหมื่่อนการหยดน้ำใส่ในตุ่ม ถ้าหากขยันตัก มาหยดใส่ประจำโดยไม่ขี้เกียจ ก็จักเต็มได้ไม่ช้า แต่ถ้าขี้เกียจก็ไม่รู้จักเต็มสักที กำลังใจของการปฎิบัติธรรมก็เช่นกัน ถ้าปักแน่นในความตั้งใจแล้ว ตรวจจิตดูหาจุดบกพร่องตรงไหน หมั่นอุดรูจุดนั้นทำให้จริงๆจังๆก็จักประสบผลสำเร็จ การตรัสนี้เป็นการชี้แนะเท่านั้นทำได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่ตัวของเจ้าเอง.

บวชทำไม – บวชได้อะไร


๑. บวชยกระดับ - ยกระดับจากหีนเพศ ขึ้นสู่อุดมเพศ
๒. บวชขยับขยาย - ได้รับการศึกษากว้างขวาง วิสัยทัศน์กว้างไกล
๓. บวชลบลาย - ทำลายความไม่ดีที่มีในสันดาน
๔. บวชหมายพระนิพพาน - แสวงหาทางพ้นทุกข์

ธรรมประกาศิตสุนทรสรนาท...

..ลิปสติกคู่ใจ ภัยที่มาพร้อมสีสัน (Woman Plus)



ผู้หญิงกับลิปสติกเปรียบเสมือนเพื่อนซี้คู่ใจ ที่สาว ๆ จะไปไหนมาไหนก็ต้องขอให้สีสันของเรียวปากนั้นดูสดใสอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ที่คุณเลือกลิปสติกผิดอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อริมฝีปากสวยอวบอิ่มของคุณก็ได้นะคะ วันนี้ womanplus จึงนำวิธีการในการเลือกลิปสติกคู่ใจมาให้สาว ๆ ไว้คิดก่อนซื้อ

ลิปสติก ถือเป็นเครื่องสำอางที่ใช้เพิ่มความสวยงามแก่ริมฝีปาก บำรุงให้ความชุ่มชื้นดูอวบอิ่ม แต่สิ่งที่หลายคนลืมนึกถึงและอาจจะกลืนกินเข้าไปในร่างกายได้ การเลือกลิปสติกถึงจะเป็นเครื่องสำอางชิ้นเล็ก ๆ แต่ก็ต้องพิถีพิถันในการเลือกซื้อ คำนึงถึงคุณภาพเป็นอันดับต้น ๆ เพื่อไม่ให้มีสารปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกาย และก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

ก่อนอื่นเรามาดูกันเลยว่า ถ้าหากคุณเลือกลิปสติกที่ไม่มีคุณภาพ หรือซื้อมานานแล้วยังเหลือเก็บเอาไว้แต่ยังคงใช้งานอยู่ หรือซื้อมาแต่ไม่ได้ดูว่าลิปสติกแท่งสวยนั้นหมดอายุแล้วหรือยัง ถ้าเป็นลิปสติกที่หมดอายุ สารในกลุ่มขี้ผึ้งและไขมันที่เสื่อมสภาพจะมีกลิ่นเหม็นหืน และหากไม่ได้ติดฉลากภาษาไทยก็อาจจะทำให้มีการผสมสีที่ห้ามใช้ในการผลิตและ ผิดกฎหมายได้ สิ่งที่สาว ๆ ควรคำนึงถึงก่อนตัดสินใจซื้อก่อนเลยคือการดูชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตก่อน และดูวันเดือนปีที่ผลิตด้วย

นอกจากนั้นยังจะต้องสังเกตตนเองอีกด้วยว่า มีอาการแพ้สารที่อยู่ในลิปสติกแท่งดังกล่าวด้วยหรือไม่ เช่น การแพ้กลิ่นน้ำหอม สารกันเสีย สารกันแดด ที่ส่งผลเสียต่อริมฝีปากของตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงส่วนผสมดังกล่าว

อาการแพ้ที่คุณอาจจะต้องลองสังเกตตัวเอง หากมีอาการดังนี้ ริมฝีปากแห้งเป็นขุย ลอก คัน บวมแดง ริมฝีปากดำคล้ำ บางรายมีตุ่มพอง อักเสบ หากมีอาการเหล่านี้ต้องหยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์


ดังนั้นวิธีการง่าย ๆ ในการเลือกลิปสติก มีดังนี้

อ่านฉลากให้ถ้วนถี่ ไม่ว่าจะเป็นข้อความภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ควรทำความเข้าใจกับผลิตภัณฑ์ รายละเอียดชื่อเครื่องสำอาง ประเภท หรือชนิด เช่น ลิปมัน ลิปกลอส ส่วนประกอบ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต และผู้นำเข้า อย่างชัดเจน และครบถ้วน

อ่านวิธีใช้ ปริมาณสุทธิ และที่ขาดไม่ได้ คือ วันเดือนปีที่ผลิต ส่วนลิปสติกที่อ้างสรรพคุณป้องกันแสงแดดต้องบอกส่วนประกอบของสารควบคุม ครั้งที่ผลิต และต้องแสดงคำเตือนด้วย

สังเกตลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ เพราะลิปสติกที่มีคุณภาพจะมีสีผิวเรียบเนียน ไม่เยิ้ม และไม่มีกลิ่นเหม็น อย่าเห็นว่าเป็นของลดราคาแล้วจะซื้อมาตุนเพราะผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีวันหมดอายุ

ห้ามใช้ลิปสติกร่วมกับผู้อื่น เพราะเราไม่ทราบเลยว่าเขามีโรคประจำตัวหรือไม่ อาจจะเกิดการติดเชื้อได้ง่าย และควรใช้กับพู่กันที่สะอาดเท่านั้น

เมื่อพบว่าสีลิปสติกเปลี่ยนไป อาจจะเสื่อมคุณภาพ ซึ่งลิปสติกจะมีอายุการใช้งานไม่เกิน 2 ปี
(เครดิต:Kapook.com)

ช่วงชีวิตหนึ่งที่ได้ครองผ้าเหลือง



เมื่อปีที่แล้วผมได้มีโอกาสได้บวชเป็นพระ อยู่ในพระพุทธศาสนาเป็นเวลา1พรรษา เมื่อครู่ได้อ่านกระทู้ บางกระทู้เกี่ยวกับพระสมัยนี้ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม และจากที่เคยเห็นมาด้วย ก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้คิดตำหนิอะไรมากมาย
แต่ที่จะมาเล่าให้ฟังคือ ช่วงชีวิตหนึ่งที่ได้บวชอยู่ในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว จึงอยากมาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ถือเป็นการเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันนะครับ บางทีอาจจะทำไห้เราๆเห็นมุมมองใหม่ๆเกิดขึ้นก็ได้ หลายท่านในที่นี้ที่เป็นผู้ชาย อาจจะเคยบวชมาแล้ว ก็คงจะเข้าใจดีถึงความรู้สึก ก่อนหน้าที่ผมจะบวชนั้น ผมก็เป็นประชาชนเดินดินนี่แหละ เป็นคนต่างจังหวัด(กำแพง) ที่มาทำงานอยู่ที่กทม.ด้วยชีวิตที่ดิ้นรนต่อสู้ ปากกัดตีนถีบ เจอคนดีมั่ง คนเลวมั่ง คนหลอกลวง คนเอาเปรียบ สารพัดในกทม.ทุกอย่างรวมกันอยู่ที่กทม. แสงสี เสียงมันยั่วเย้าเร้าใจให้คนเสียคนใด้ง่ายมาก ประกอบกับวัยที่กำลังคึกคะนอง กำลังเที่ยวเตร่
แต่แล้ววันหนึ่งมีเสียงโทรศัพท์ โทรเข้ามา เป็นเสียงแม่ผมนั่นเอง จำได้ว่าตอนนั้น ผมกำลังเตะบอล อยู่กับเพื่อนๆกลุ่มนึง หลังจากไตร่ถามสารทุกสุขดิบกันพอควรแล้ว ปกติก็ไม่ค่อยจะโทรคุยกันเท่าไหร่นัก แล้วบ้านก็ไม่ค่อยจะได้กลับ คุยเสร็จแม่ผมก็เปรยว่า บวชให้แม่หน่อยนะลูก แม่ก็แก่แล้ว ใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว คำนี้ทำผมอึ้งไปพักใหญ่ เพราะว่าด้วยที่ผมอายุก็ 28 คือเลยบวชมานานพอสมควร ทุกปีแม่ผมจะต้องวอนให้ผมบวชให้ท่าน ประมาณก่อนเข้าพรรษาประจำ จนปีนี้ซึ่งก็คิดว่าคงจะหนีไม่พ้นแน่ เพราะปีที่ผ่านมาก็อ้างโน้นอ้างนี่จนไม่มีข้ออ้างแล้ว จึงจำเป็นต้องทำตามใจแม่ซักครั้ง
หลังจากได้คุยกันแล้ว ผมมีเวลาอีกประมาณ1เดือนก่อนที่จะต้องบวช ผมรีบสะสางงานที่ค้างไว้ แล้วเดินทางกลับไปบ้าน ผมกลับถึงบ้านด้วยใจ ที่ไม่ค่อยชอบนัก เพราะว่าที่บ้านผมมันเป็นบ้านนอกต่างจังหวัดธรรมดา ผมยังคิดเลยว่าผมจะอยู่ได้หรือเปล่า เพราะความที่ผมอยู่กทม..มาหลายปี เจอคนจอแจทั้งวัน เจอแสงสี พอมาอยู่บ้านก็เงียบสนิท (กลัวอดเที่ยวว่างั้นเถอะ)
ก่อนที่จะบวชผมต้องไปอยู่วัดก่อน(เป็นนาค) ท่องบทที่จะต้องเตรียมตัวเข้าพิธี ผมนึกในใจว่าทำไมมันช่างยากเย็นอย่างนี้ ภาษาบาลีมันช่างจำยากจำเย็นเหลือเกิน แค่ไม่กี่บรรทัดเอง ท่องไม่ได้(มาคิดอีกที ทีเพลงพวกศิลปินที่ร้องกัน บางที่ฟังครั้งเดียวก็ร้องตามได้แล้ว) ในใจคิดว่า เดี๋ยวบวชเสร็จเราก็ได้เที่ยวตามเดิมแล้ว แค่3เดือนเอง คิดอย่างนี้ทำให้ผมสบายใจ รีบกระตื้อรือร้นอ่าน ใช้เวลานานพอควร กว่าจะท่องบทไม่กี่บรรทัดนี้ได้ พอวันบวชมาถึง ตั้งแต่ผมเริ่มโกนผมเลยครับ ผมรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพิธี คือชาวบ้านที่มางานกัน เค้ากระตือรือร้น ที่จะเข้ามาช่วยงานผมมาก คนเถ้าคนแก่เต็มหมด ผมไปตรงไหนก็มีคนอยากคุย อยากถาม โดยเฉพาะแม่ผมก็ปลื้มเลยครับงานนี้
หลังจากเสร็จพิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยง ผมก็จะต้องมาทำพิธีในโบสถ์ (ก็เหมือนกับปฎิญาณ ว่าต้องการจะเป็นพระนั่นแหละ) พระที่วัดมีทั้งหมด11รูปด้วยกัน ต่างรอทำพิธีอยู่ในโบสถ์แล้ว มีเจ้าอาวาส พระอุปัชฌาย์ พระลูกวัด หลังจากที่ทำพิธีในโบสถ์แล้ว ผมสังเกตแม่ผมมีใบหน้าที่มีความสุขมาก ปลื้มมากที่ลูกชายได้บวช ท่านคงคิดว่าวันนี้ที่รอคอย ก็มาถึง ผมห่มเหลือง สะพายบาท มือสองข้างถือตรปัช (เขียนไม่ถูกต้องขออภัย) หลังจากทำพิธีในโบสถ์แล้ว ตอนนี้ผมเป็นพระเต็มตัวแล้ว เดินไปไหนก็จะมีคนที่จะกราบไหว้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐ เป็นผู้ที่บริสุทธ์ ที่จะต้องสืบทอดศาสนาต่อไป
หลังจากเดินออกจากโบสถ์แล้ว ผมไม่ได้มาตัวเปล่าครับ แต่ว่าได้ถือศีลมาทั้งหมด 227 ข้อมาด้วย ซึ่งตลอดการบวช ผมจะต้องรักษาไว้ให้อย่างดีทีเดียว แม้ผมจะเหยียบมดตายซักตัวสองตัว นั้นก็ถือเป็น อาบัติ แล้ว นี่คือข้อแตกต่างระหว่างคนกับพระ ถ้าคนธรรมดาก็คงจะไม่เป็นไร ผมรู้สึกต่างจากคนที่เคยดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ที่ กทม. อย่างสิ้นเชิง
ผมก้าวออกจากโบสถ์ มีคนรออยู่แล้วประมาณ 20 กว่าคนทั้งหญิงชาย (ส่วนมากเป็นคนเถ้าคนแก่) รอที่จะไส่ธูปไส่เทียนลงในย่ามที่คล้องแขนไว้ มีคนแก่ผู้ชาย2คนนอนลงราบกับพื้นติดกัน ผมงงครับ ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่แล้วก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง บอกว่า เหยียบเลยคุณๆๆ ผมเก่ๆกังๆอยู่นั่น เพราะคิดว่านี่เป็นคนเถ้าคนแก่ มีอายุมากกว่า อีกทั้งเป็นที่เคารพนับถือตั้งแต่เรายังเด็ก บางคนก็เอาผ้าผืนสีขาวสะอาดมารองพื้นไว้ เพื่อที่จะให้ผมเหยียบลงไป จะให้เราเอาเท้าไปเหยียบบนหลัง บนผ้านะหรือ มันรู้สึกขัดเขินอย่างไงบอกไม่ถูก เมื่อถูกขยั่นขยอมากเข้า ผมก็เลยต้องทำตาม มารู้ทีหลังว่า เขาเชื่อว่าคนที่ได้บวชใหม่ เพิ่งออกจากโบสถ์มาใหม่ๆ ถือว่าเป็นพระที่บริสุทธิ์ที่สุด (คือศีลยังไม่ขาดนั่นเอง) ฉะนั้นอานิสงค์ของศีลตรงนี้ จะทำให้เขาเหล่านั้น ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้หายจากอาการโรคปวดหลังปวดเอว และโรคอื่นๆได้
นั่นทำให้ผมเริ่มรู้สึกเลื่อมไสในพุทธศาสนามากขึ้น จากที่คิดว่าเฉยๆ ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ช่วงเวลาที่ครองผ้าเหลืองอยู่นั้น ก็ไช่ว่าจะสบายเหมือนที่คิดไว้นะครับ ประกอบกับเป็นช่วงที่เข้าพรรษาที่เข้มงวดเรื่องธรรมวินัยอย่างมาก ใหนจะเรื่องกิจนิมนต์ต่างๆ ต้องทำวัตรเช้า เย็นทุกวัน ทำบุญทุกวันพระ ไหนจะต้องท่องบทสวดต่างๆ (ซึ่งมีมากมายหลายเท่ากว่าที่ตอนก่อนบวชมาก) ต้องเตรียมตัวสอบ นวกะ ต้องเตรียมตัวเทศน์โปรดโยม รวมถึงเทศน์มหาชาติ มากมาย ต้องดูแลวัด เช่น กวาดถูบริเวณวัด ที่วัดตามต่างจังหวัด จะไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนัก ไม่เหมือนในเมือง อยู่กันแบบสมถะ ข้าวปลาอาหารก็ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ เหมือนเป็นคนธรรมดา เวลาฉันก็เป็นเวลา จะมาฉันพร่ำเพรื่อก็คงไม่ได้ (แรกๆหิวแถวตาย)
แต่น่าแปลกว่า ในใจกลับสงบ เยือกเย็น รู้สึกเป็นสุขอย่างไงบอกไม่ถูก เวลาไปบิณฑบาตรตอนเช้า ตลอดทางมีคนตักบาตร เข้ามากราบไหว้ แสงแดดอ่อนๆ ทั้งดอกไม้กลิ่นหอมที่ชาวบ้านเขาบรรจงทำมาไห้เป็นอย่างดี ข้าวที่กรุ่นไปด้วยควัน ที่เพิ่งออกมาจะออกหม้อใหม่เลย ทั้งแกง ทั้งต้ม ที่เข้าเหล่านั้นทำมาเป็นอย่างดี บรรจงตักไส่บาตร สังเกตุสีหน้าที่คนใส่บาตรแล้ว เขารู้สึกถึงความเต็มใจ และอิ่มเอมใจที่ได้เป็นผู้ให้ และเราเป็นผู้รับก็จะต้องไห้พร รู้สึกได้ถึงความเอื้ออาทรกัน ของมนุษย์เรา ที่แม้แต่เงินมายมายก็หาซื้อไม่ได้
นี่เป็นบรรยากาศทุกเช้า เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชุมชนที่ห่างไกลสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ หากแต่เปี่ยมด้วยแรงศรัทธา จิตใจที่เต็มไปด้วยความเป็นมิตร ความอาทรกัน วันไหนฝนตก ไปเดินบิณฑบาตรไม่ได้ วันนั้นจะมีชาวบ้านมาหาถึงที่วัดเลย พร้อมกับข้าว แกง และอื่นๆมาด้วย ด้วยว่ากลัวว่าพระจะไม่มีอะไรฉัน
นี่แหละครับ วิถีชีวิตที่ต่างจังหวัด ในเมืองอย่างกรุงเทพอาจจะหาดูยากซักหน่อย ถึงแม้ในปัจจุบัน เราจะเห็นพระที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เช่นเดินห้างซื้อซีดี ซื้อเครื่องเสียง แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนน้อย ซึ่งโดยส่วนตัว ก็คิดว่าไม่ค่อยเหมาะสม แต่เราชาวพุทธทั้งหลายก็ขอให้มีจิตใจที่เข้มแข้ง นับถือในพระพุทธศาสนาต่อไป อย่างน้อยการได้เป็นผู้ให้ และมีพระรัตนะตรัยอยู่ในใจแล้ว เราก็จะเป็นสุขแน่นอน หาเวลาว่างวันพระเข้าไปทำบุญซักวัน ถึงจะไม่บ่อยนักก็ยังดี พาลูกพาหลานไปด้วย ปลูกฝังตั้งแต่เล็กเลย แล้วเด็กจะซึมซับแต่สิ่งดีๆแน่นอน
ในระยะที่ได้ครองผ้าเหลืองอยู่เป็นเวลา1พรรษา ผมรู้สึกว่าผมได้อะไรมากมายโดยเฉพาะทางใจ ถึงว่าทำไมแม่ผมถึงรบเร้าให้ผมบวชให้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ดีนี่เอง เพราะแม่ปราถนาดีกับลูกเสมอ
สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกก่อนทิ้งท้ายนี้ก็คือ การทดแทนพระคุณพ่อ-แม่ที่ดีที่สุด คือการได้บวช แม้จะเป็นการตอบแทน เพียงแค่เสี้ยวเดียวของพระคุณท่าน ที่ไห้กำเนิดเรามา แต่นั่นเป็นความภูมิใจที่สุด ที่เราจะสามารถมอบให้ท่านได้ ผู้เป็นชายได้เกิดมาแล้ว และได้บวชทดแทนบุญคุณ ถือว่าเป็นคนเต็มคนแล้ว ได้บวชซัก1-2 พรรษา ก็ถือเป็นกุศลอย่างมาก ที่สำคัญคือเราจะต้องเคร่งครัดในกฎวินัย การเป็นพระด้วย ศีล227ข้อ ที่พระพุทธองค์บรรญัติไว้ให้รักษาไว้ให้ได้มากที่สุด แค่นี้เราก็จะได้รับความนับถือจากสาธุชนทั่วไปแล้วล่ะครับ หากรักษาไม่ได้ หักห้ามตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ต่างจากปุถุชนทั่วไปเลย
ถ้าเราเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้แล้ว เราจะได้ประโยชน์อย่างมากมายในการดำรงชีวิตเลยล่ะครับ......


.......

บทความจาก

http://www.budpage.com/

ເລື່ອງດີໆທີ່ຢາກໃຫ້ທຸກຄົນໄດ້ອ່ານ

ເລື່ອງດີໆທີ່ຢາກໃຫ້ທຸກຄົນໄດ້ອ່ານ

     ໝູ່ຂອງ ​ຂ້ອຍ​ເປັນ​ຜູ້ຍິງ​ທຳ​ມະ​ດາໆຄົນໜຶ່ງ ລາວໜ້າຕາ​ດີ ​ເຮົາ​ຮຽນຈົບ​ໃນ​ຄະນະ​ດຽວກັນ ຫລັງ​ຈາກ​ຮຽນຈົບ​ມາ​ໄດ້​ປີກ​ວ່າໆ ຂ້ອຍ​ກໍ່​ໄດ້​ຮັບ​ກາດ​ເຊີນ​ໄປ​ງານ​ແຕ່ງ.
     ວັນ​ແຕ່ງງານ​ຂອງ​ລາວ ລາວງົດງາມ​ແລະ​ສົດ​ໃສ​ເໝືອນ​ເດີມ ​ເບິ່ງ​ແລ້ວ ລາວຄົງຈະ​ພົບ​ເນື້ອ​ຄູ່​ຕາມ​ທີ່​ລາວໄດ້​ໄຝ່ຝັນ​ຢ່າງ​ແທ້​ຈິງ .. ເພື່ອນ​ໃນ​ກຸ່ມ​ຂອງ​ລາວເຖິງ​ກັບ​ຕາ​ຮ້ອນດ້ວຍ​ຄວາມ​ອິດສາ ຢາກ​ແຕ່ງງານ​ເໝືອນກັນກັບ​ລາວ.
     ຜ່ານ​ໄປ​ໄດ້​ເກືອບ​ປີກ​ວ່າໆ ຂ້ອຍ​ກໍ່​ໄດ້​ຂ່າວ​ວ່າ​ລາວ​ໄດ້​ອອກລູກ​ແລ້ວ ພວກໝູ່​ເພື່ອນ​ລວມທັງ​ຂ້ອຍ ກໍ່​ໄດ້​ຕາມ​ໄປ​ເບິ່ງ​ລາວ​ຢູ່​ບ້ານ ລາວ​ຄົງ​ເປັນ​ຄົນ​ໂຊກ​ດີ​ຄົນໜຶ່ງທີ່​ຂ້ອຍ​ເຫັນ ​ເພາະ​ທັງ​ສາມີ​ແລະ​ຄອບ​ຄົວ​ຂອງ​ລາວ​ເບິ່ງ​ມີ​ຄວາມ​ສຸກກັນ​ຖ້ວນໜ້າ ​ເພື່ອນໆຕ່າງ​​ເວົ້າ​​ຢອກ​ລາວ​ວ່າ ລາວ​ຄື​ຄົນ​ຖຶກ​ເລກ​ລາງວັນ​ທີ່ 1 ​ເພາະ​ລາວ​ມີ​ສາມີ​ທີ່​ແສນ​ດີ ຂ້ອຍ​ເອງ​ກໍ່ຮູ້ສຶກແບບນັ້ນ​ເຊັ່ນ​ດຽວກັນ ​ເພາະ​ມັນ​ຊ່າງ​ແຕກ​ຕ່າງ​ຈາກ​ຫລາຍໆຄູ່​ທີ່​ຂ້ອຍ​ເຄີຍ​ໄດ້​ຍິນ​ມາ.
  
ເວລາ​ຜ່ານ​ໄປ​ອີກ​ປີກ​ວ່າໆ​ເຊັ່ນ​ເຄີຍ ຂ້ອຍ​ກໍ່​ໄດ້​ຮັບ​ຂ່າວ​ວ່າ​ລາວ​ໄດ້​ອອກລູກ​ອີກ​ຄົນ ຊີວິດ​ຂອງ​ລາວ​ເຮັດ​ໃຫ້​ຂ້ອຍ​ເລິ່ມຮູ້ສຶກ​ຢາກ​ມີ​ຊີວິດ​ຄູ່​ຂຶ້ນ​ມາ​ທັນທີ ​ເບິ່ງ​ໄປ​ຢ່າ​ມລາວ​ເໝືອນຄັ້ງ​ທີ່​ແລ້ວ ​ແລະຮອດ​ບໍ່​ມີ​ຫຍັງ​ປ່ຽນ​ແປງ ​ເບິ່ງ​ລາວ​ຄື​ມີ​ຄວາມສຸກ​ຫລາຍ​ທີ່​​ໄດ້​ແຕ່ງງານ​ນຳ​ຜູ້​ຊາຍ​ຄົນ​ນີ້ ລາວ​ເອງ​ກໍ່​ບອກ​ກັບ​ຂ້ອຍ​ເຊັ່ນ​ນັ້ນ ຊີວິດ​ຄອບຄົວ​ຂອງ​ລາວ​ມີ​ຄວາມ​ລົງ​ຕົວ​ເປັນ​ຢ່າງ​ດີ.
     ສອງ​ປີຜ່ານ​ໄປ ​ເພື່ອນ​ໃນ​ກຸ່ມ​ຂອງ​ເຮົາ​ແຕ່ງງານ ຂ້ອຍ​ໄດ້​ພົບ​ກັບ​ລາວ​ອີກ​ຄັ້ງ​ໃນ​ງານ​ແຕ່ງ​ນີ້ ຫລັງ​ເລີກ​ຈາກ​ງານ​ແຕ່ງ ຂ້ອຍ​ອາສາ​ພາລາ​ວ​ໄປ​ສົ່ງ​ບ້ານ ຕະຫລອດ​ເສັ້ນທາງ ລາວ​ເຮັດ​​ໃຫ້​ທັດສະນະ​ຄະ​ຕິຂອງ​ຂ້ອຍປ່ຽນ​​ແປງໄປ​​ເລີຍ ລາວ​ໄດ້​ເອີ່ຍ​​ເຖີງ​ເລື່ອງ​ຄອບຄົວ ຊ້ອຍ​ບອກ​ກັບ​ລາວ​ວ່າ ລາວ​ໂຊກ​ດີ​ທີ່​ໄດ້​ສາມີ​ຄົນ​ນີ້ ​ແລ້ວ​ລາວ​ກໍ່​ບອກ​ກັບ​ຂ້ອຍ​ວ່າ ບໍ່ ​ມີ​ໃຜ​ດີ​ທີ່​ສຸດ ທຸກ​ຄົນ​ຍ່ອມ​ມີ​ຂໍ້​ເສຍ ​ແລະ ຂໍ້​ດີ​ແຕກ​ຕ່າງ​ກັນ ​ເຂົາ​ກໍ່​ມີ​ຂໍ້​ເສຍ ​ເຮົາ​ກໍ່​ມີ​ຂໍ້​ເສຍ ​ແຕ່​ເມື່ອ​ແຕ່ງງານ​ກັນ​ແລ້ວ ສິ່ງໜຶ່ງທີ່​ເຮັດ​ໃຫ້​ຊີວິດ​ຄູ່​ຢູ່​ໄດ້​ຄື ການ​ໃຫ້​ອະ​ໄພ ​ແລະ ການ​ປ່ອຍ​ວາງບໍ່​ແມ່ນ​ລາວ​ບໍ່​ເຄີຍ​ພົບ​ເລື່ອງ​ທີ່​ບໍ່ພໍ​ໃຈ ພຽງ​ແຕ່​ລາວ​ບໍ່​ເຮັດ​ໃຫ້​ມັນ​ເປັນ​ເລື້ອງ​ຫລາຍ​ກວ່າ ຂ້ອຍ​ເອງ​ກໍ່​ແອບ​ຊື່ນ​ຊົມ​ລາວ​ຢູ່​ໃນ​ໃຈ .. ສັກ​ພັກໜຶ່ງລາວ​ກໍ່​ເວົ້າ​ຂຶ້ນ​ມາ​ວ່າ ເຈົ້າ​ຮູ້​ບໍ່ ບາງ​ຄັ້ງ​ຂ້ອຍ​ຍັງ​ແອບ​ຄິດ​ຮອດ​ຄົນ​ທີ່​ຂ້ອຍ​ເຄີຍ​ແອບ​ຮັກ​ເລີຍ ຍັງ​ຄົງ​ແອບ​ຄິດ​ຮອດ​ຢູ່​ເປັນ​ປະຈຳ ​ແຕ່​ເຈົ້າ​ຮູ້​ບໍ່ ຂ້ອຍຮູ້​ດີ​ວ່າ ຄົນ​ທີ່​ຂ້ອຍ​ຮັກ ອາດບໍ່​ແມ່ນ​ຄົນ​ທີ່​ເຮົາ​ຈະ​ໃຊ້​ຊີວິດ​ຢູ່​ນຳ​ຂ້ອນຍເຮັດໜ້າງົງໆ ລາວ​ຍິ້ມ​ແລ້ວ​ເວົ້າ​ຕໍ່​ວ່າ ຄົນ​ທີ່​ເຮົາ​ຮັກ ບາງ​ຄັ້ງ​ອາດ​ບໍ່​ເໝາະທີ່​ຈະ​ມາ​ໃຊ້​ຊີວິດ​ຢູ່​ຄູ່​ກັບ​ເຮົາ ​ເຂົາ​ເໝາະ​ພຽງ​ແຄ່​ໃຫ້​ເຮົາ​ໄດ້​ແອບ​ຮັກ ​ແອບ​ຄິດ​ຮອດ ​ໃນ​ຄວາມ​ເປັນ​ຈິງ​ແລ້ວ ​ເຮົາ​ຮູ້ດີ​ວ່າ ຄົນ​ທີ່​ຈະ​ຢູ່​ກັບ​ເຮົາ​ໄດ້​ນັ້ນ​ຕ້ອງ​ເປັນຈັງ​ໃດ ຂ້ອຍ​ເອງ​ກໍ່​ເລືອ​ກຖືກຕ້ອງ​ແລ້ວ ຊີວິດ​ຄູ່​ສະ​ໄໝນີ້ ຄິດ​ແຕ່​ຈະ​ເລືອກ​ສະ​ເພາະ​ຄົນ​ທີ່​ເຮົາ​ຮັກ ​ແຕ່​ບໍ່​ໄດ້​​ແນມ​ເບິ່ງ​ວ່າ​ເຂົາ​ກັບ​ເຮົາ​ເຂົ້າກັນ​ໄດ້​ບໍ່ ​ເຂົາ​ເປັນ​ຄົນ​ແບບ​ໃດ ຈົນ​ກວ່າ​ໄດ້​ຢູ່ນຳ​ກັນ​ແທ້ໆ ​ເມື່ອ​ຄວາມ​ຮັກ​ຫາຍ​ໄປ ຄວາມ​ເປັນ​ໂຕ​ຕົນ​ທີ່​ແທ້​ຈິງ​ກໍ່​ອອກ​ມາ ອັນ​ຫຍັງ​ທີ່​ແຕ່​ກ່ອນ​ເຮັດ​ແລ້ວ​ບໍ່​ສົນ​ໃຈ ດຽວນີ້​ເຮັດ​ຫຍັງໜ້ອຍໜຶ່ງກໍ່​ຂັດ​ຫູ​ຂັດຕາ ​ແລ້ວ​ກໍ່​ມາ​ຈົບ​ລົງ​ທີ່​ການ​ຢ່າ​ຮ້າງ ​ເຈົ້າ​ເຊື່ອ​ຂ້ອຍ​ເຖາະ​ວ່າ ​ເມື່ອ​ຢູ່​ນຳ​ກັນ​ດົນ​ໄປ​ແລ້ວ ຄວາມ​ຮັກ​ມັກ​ມາ​ຊ້າ​ກວ່າ​ຢ່າງ​ອື່ນ​ສະ​ເໝີ ຫາກ​ເຮົາ​ຈະເລືອກ​​ໃຜ​ເປັນ​ຄູ່​ຊີວິດຈັກ​ຄົນ ​ເຮົາ​ຄວນ​ຈະ​ແນມ​ເບິ່ງ​ເຂົາ​ໃຫ້​ຫລາຍ​ກວ່າ​ຄວາມ​ຮັກຂ້ອຍ​ຂັບ​ລົດ​ມາ​ເຖິງໜ້າບ້ານ​ລາວ​ພໍດີ ສາມີ​ລາວ​ອອກ​ມາ​ຮັບ ສອງ​ຄົນ​ພາກັນ​ເຂົ້າ​ເຮືອນ ​ເບິ່ງ​ຄວາມ​ຮັກ​ຂອງ​ລາວ​ແລະ​ຄອບຄົວ​ກໍ່​ອົບ​ອຸ່ນ​ດີ ຫລັງ​ຈາກ​ຂ້ອຍ​ຂັບ​ລົດ​ກັບ ຂ້ອຍ​ກໍ່​ຄິດ​ໄດ້ທັນທີ​ວ່າ ຫລາຍ​ຄັ້ງ​ຄົນ​ທີ່ຢູ່​ຄຽງຂ້າງ​ຂ້ອຍ ມັກ​ຖາມ​ຂ້ອຍ​ວ່າ ​ເມື່ອ​ໃດ​ຈະ​ແຕ່ງງານ​ຈັກ​ເທື່ອ ​ແຕ່​ຂ້ອຍ​ກັບ​ຄິດ​ເຖິງ​ແຕ່​ຄົນໆໜຶ່ງ ທີ່​ຂ້ອຍ​ຫລົງ​ຮັກ ຈົນ​ລືມ​ຄວາ​ມຈິງ​ໄປ​ວ່າ ​ເຮົາ​ຄວນ​ຢູ່ກັບ​ສິ່ງ​ທີ່​ແມ່ນ​ຫລາຍ​ກວ່າພະຍາຍາມ​ຮຽກຮ້ອງຫາ​ສິ່ງ​ທີ່​ເປັນ​ພຽງຄວາມ​ວ່າງ​ເປົ່າ ຄຳ​ເວົ້າ​ຂອງ​ລາວ ​ເຮັດ​ໃຫ້​ຂ້ອຍ​ແນມ​ຄຳ​ວ່າຊີ​ວິດ​ຄູ່​ປ່ຽນ​ໄປ ​ແລະ ​ເປີດ​ໃຈ​ຮັບ​ກັບ​ການ​ແຕ່ງງານ​ຫລາຍ​ຂື້ນ ຈົນ​ເຖິງ​ທຸກ​ມື້​ນີ້ ຂ້ອຍ​ມີ​ລູກ​ແລ້ວ​ສອງ​ຄົນ​ກັບ​ຄົນ​ທີ່​ຂ້ອຍ​ເລືອກ​ແລ້ວ​ວ່າ ລາວ​ຄວນ​ຄ່າ​ເປັນ​ພໍ່(ຫຼື​ແມ່)​ຂອງ​ລູກ​ຂ້ອຍ.
ແລ້ວ​ເຈົ້າ​ລະ​ຈະ​ເລືອກ​ ຄົນ​ທີ່​ແມ່ນຫຼື ຄົນ​ທີ່​ມ  ((ຄັດມາຈາກເວບຍີ້ມລາວ.ຄອມ))

5 วิธีจับโกหก


การที่เราสามารถจับโกหกได้เมื่อมีคนพูดโกหกกับเราทั้งคำโกหกที่ไม่มีพิษภัย และโกหกคำโตที่ก่อเรื่องได้นั้นสำคัญมากโดยเฉพาะในธุรกิจ เพราะนั่นอาจหมายถึงข้อตกลงที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ มาลองพัฒนาทักษะที่จะแยกระหว่างเจตนาดีกับการหลอกลวงด้วยเคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

!!

1.ฟังให้ดี!!

เคยสังเกตหรือไม่ว่าระดับเสียงของบางคนเปลี่ยนไปจากปกติ เคยได้ยินเสียงแตกปร่าทั้งที่คนคนนั้นไม่ใช่คนเสียงแตกไหม ควรใส่ใจกับเสียงที่เปลี่ยนไปเพราะอาจบ่งบอกถึงการหลอกลวง

ผลพิสูจน์ระบุชัดเมื่อพอล เอ็กแมนและมอรีน โอซุลลิแวน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโกทดสอบคน 509 คน ทั้งจากหน่วยราชการลับ, ซีไอเอ, เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ, นักจิตเวช และนักศึกษาเรื่องความสามารถในการจับโกหก โดยให้ผู้ทดสอบทั้งหมดดูวิดีโอที่มีคนสิบคนทั้งคนที่โกหกและคนที่พูดความ จริง

ในวิดีโอ หญิงผู้หนึ่งบรรยายความสวยของดอกไม้ที่เธอมองอยู่ แม้จะยิ้มขณะพูด แต่บางคนสังเกตว่าเธอพูดจาไม่เต็มเสียง คำพูดขาดความสดใส และมือดูจะเกร็งไม่ผ่อนคลาย หน่วยราชการลับคนหนึ่งบอกว่าเธอโกหกแน่นอน เขาพูดถูก (ส่วนใหญ่หน่วยราชการลับมักจับคนโกหกได้ถึง 86% พวกเขาเก่งกว่าใครในเรื่องนี้)

ถึงกระนั้น พฤติกรรมอื่นๆก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย เสียงที่เปลี่ยนไปมักบ่งบอกว่าโกหก "ความเร็วในการพูดเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าไป รวมทั้งการหายใจที่เปลี่ยนไป" โอซุลลิแวนกล่าว

2. ดูคำที่ใช้

แล้วถ้าเป็นข้อเขียนล่ะ เราจะจับโกหกในจดหมาย เอกสาร หรืออีเมล์ได้หรือไม่ ที่มหาวิทยาลัยเทกซัส ศาสตราจารย์เจมส์ เพนนีเบเคอร์และเพื่อนร่วมงานพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ชื่อ Linguistic Inquiry and Word Count (LIWC) ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ข้อเขียนและคำพูดว่าโกหกหรือไม่ เพนนีเบเคอร์บอกว่าการพูดโกหกจะบอกได้จากสองสิ่งที่สำคัญ

อย่างแรกคือ นักโป้ปดจะใช้คำสรรพนามของบุรุษที่หนึ่ง เช่น ฉัน, ของฉัน น้อยกว่าคนที่พูดความจริง เหมือนพยายามสร้างระยะห่างระหว่างพวกเขากับเรื่องราวที่แต่งขึ้น เหมือนไม่ได้เป็นเจ้าของเรื่องนั้นๆ เช่น "เอกสารส่งไปเมื่อวานนี้" ซึ่งตรงข้ามกับคำพูดตรงๆบ่งบอกว่าเป็นเรื่องของตัวเองอย่าง "ฉันส่งเอกสารไปเมื่อวานนี้" อย่างที่สองคือ นักโกหกจะไม่ค่อยใช้คำแยกประโยค อย่างคำว่า แต่, ไม่ว่า, นอกเสียจาก, ถึงแม้ว่า เพราะพวกนี้จะมีปัญหากับการคิดซับซ้อนโดยคำที่ใช้นั้นก็ฟ้องอยู่แล้ว

3.อย่ามองแค่ตา

เรามักจะคิดว่าตาหลุกหลิกคือสัญญาณที่รู้กันดีว่าโกหก แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือ เหตุการณ์ตอนนั้นด้วย (นักเล่นโป๊กเกอร์ถึงระวังไม่ให้ตา "แบไต๋" จนเกินไป)

"ถ้าคนคนนั้นมองไปทางอื่นขณะครุ่นคิดเรื่องหนักๆอยู่ไม่ถือว่ามีพิรุธ" โอซุลลิแวนกล่าว "แต่ถ้าเขาเฉไฉมองไปทางอื่นขณะตอบคำถามที่น่าจะง่าย นี่สิน่าสงสัย"

หัวข้อที่โกหกก็เป็นประเด็นสำคัญ "ถ้าคนโกหกเรื่องที่อับอาย ยากที่เขาจะมองตาเราได้" โอซุลลิแวนกล่าว " แต่สำหรับคำโกหกที่ไม่มีพิษภัย ไม่มีอะไรต้องอายในการโกหก คนเราก็จะจ้องตาได้นานขึ้น"

4. สังเกตดูภาษากายโดยรวม

อวัยวะเพียงส่วนเดียวของร่างกาย อย่างเช่น ตา จมูก หู หรือมือ ไม่ได้บอกเราทั้งหมด เมื่อพูดถึงการโกหก มันไม่ง่ายอย่างนั้น "ไม่มีจมูกแบบพิน็อกคิโอให้สังเกตหรอก" เอ็กแมนบอกอย่างหนักแน่น "จะจับโกหกให้แม่นยำ คุณต้องพิจารณาดูความกลมกลืนของสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง ตลอดจนคำพูด"

นั่นหมายถึงการสังเกตคนคนนั้น "โดยรวม" "และเราจะต้องตีความอาการพิรุธจากพฤติกรรมโดยปกติของคนคนนั้น" โอซุลลิแวนกล่าว "ความเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของมือที่เปลี่ยนไป หรือการใช้มือประกอบท่าทางมากขึ้น ท่ายักไหล่ที่ไปกันไม่ได้กับสิ่งที่พูด พวกนี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามอง" เธอบอก รวมไปถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปในระหว่างการสนทนาด้วย

จับตาดู "สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม" เธอชี้ "อย่างเช่นคนเงียบๆที่อยู่ๆก็พูดมาก คนที่ปกติเคยพูดมากกลับเงียบ นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาโกหกเสมอไป แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนำมาประเมิน"

5. จับอารมณ์ที่ "เล็ดลอด" ออกมา

หลายครั้งที่สีหน้าเพียงแวบเดียวสามารถบอกได้มากมายว่า เขารู้สึกอย่างไรหรือกำลังคิดอะไร ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เขาพยายามสร้างภาพ แต่ความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเพียงชั่วแวบนี้ ซึ่งบางทีก็เกิดขึ้นแค่เสี้ยววินาที ไม่ง่ายนักที่จะจับได้ แม้แต่มืออาชีพที่ฝึกศาสตร์ในการจับโกหกอย่างตำรวจ ผู้พิพากษา หรือทนายก็มองไม่ทันอยู่บ่อยๆ และคนที่จงใจโกหกก็มักจะกลบเกลื่อนเช่นใช้รอยยิ้มเพื่ออำพราง

แต่ก็ยังมีช่องโหว่ "ไม่สำคัญว่าเขาจะยิ้มบ่อยแค่ไหน แต่ประเภทของยิ้มต่างหากที่สำคัญ" เอ็กแมนแนะ "ยิ้มที่มาจากความสุข ใจที่แท้จริงไม่ใช่ยิ้มแค่ปาก แต่กล้ามเนื้อรอบๆดวงตาต้องยิ้มไปด้วย ผิดกับยิ้มแบบใส่หน้ากากที่ต้องการปกปิดความกลัวความโกรธ ความเศร้า หรือความเกลียด ถ้าช่างสังเกต คุณจะเห็นร่องรอยอารมณ์เหล่านี้เล็ดลอดออกมา"

หวังว่าคราวหน้าถ้ามีใครโป้ปดกับคุณ คุณ จะรู้วิธีจับโกหกได้

ເມື່ອອ່ານແລ້ວເຈົ້າຈະຍີ້ມກັບມັນ


1. ເຈົ້າກຳລັງອ່ານຂໍ້ຄວາມຂອງຂ້ອຍ

v



2. ເຈົ້າອ່ານຂໍ້ 1 ຈົບໄປແລ້ວ


v

v

3. ເຈົ້າກຳລັງຄິດວ່າມັນຕະລົກວ່າງໃດ

v

v

4. ຄືເຈົ້າກຳລັງຖືກຕົ໋ວ

v

v


5. ເຈົ້າເລິ່ມຄິດວ່າຈະດ່າຂ້ອຍແນວໃດ

v

v

6. ເຈົ້າເລິ່ມລຳຄານ

v

v

 7. ເຈົ້າລຳຄານ​ແຮງໆ

v

v


9. ເຈົ້າຮູ້ສຶກລຳຄານ​ສຸດໆ

v

v


10. ເຈົ້າລຳຄານຈົນລືມເບິ່ງໄປວ່າມັນບໍ່ມີຂໍ້ 8

v

v

11. ເຈົ້າເລື່ອນກັບໄປເບິ່ງຄືນວ່າມັນແມ່ນແທ້ບໍ່

v

v


12. ເຈົ້າເລື່ອນກັບມາອີກແລ້ວ .. ເຮີໆ

v

v


13. ເຈົ້າເລິ່ມເລື່ອນລົງແລ້ວ

v

v

14. ເຈົ້າເລື່ອນລົງຢ່າງໄວ

v

v


15. ແລະກໍ່ ໄວໆໆ ....

v

v

16. ໄວຂະໜາດ ..

v

v


17. ໄວຈົນບໍ່ຮູ້ວ່າຂໍ້ 13 ນັ້ນມີ 2 ຂໍ້ ...

v

v


18. ແລ້ວເຈົ້າກໍ່ຍ້ອນກັບໄປເບິ່ງອີກຄັ້ງ

v

v


19. ເຈົ້າຖືກຕົ໋ວໄປເຕັມໆ ຂໍ້ທີ 13 ນັ້ນມີຢູ່ ຂໍ້ດຽວ .. ຮິໆໆໆ

v

v


20. ເຈົ້າສ່າຍຫົວໄປມາ .. ຄິດໃນໃຈວ່າ         ມັນເອົາຂໍ້ຄວາມບ້າຫຍັງມາໃຫ້ອ່ານວະ

v

v


21. ບໍ່ມີສາລະອີ່ຫຍັງເລີຍ ...

v

v



22. ແຕ່ກໍ່ຍັງເຮັດໃຫ້ເຈົ້າອ່ານມາຮອດບ່ອນນີ້

v

v



23. ນັ້ນແນ້ !!!! ເຈົ້າລັກຍິ້ມແລ້ວ 555.   ((ຄັດມາຈາກເວບຍີ້ມລາວ.ຄອມ))

..เคล็ดไม่ลับ สัมภาษณ์งานให้ได้งาน สำหรับเด็กจบใหม่


หากพูดถึงเรื่องการสมัครงานและการสัมภาษณ์งานแล้ว คงจะไม่มีใครรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นตัวโก่งได้มากเท่ากับเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์การสัมภาษณ์งานที่ไหนเป็นแน่ ก็แหงล่ะ ทั้งไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ทั้งไม่เคยสัมภาษณ์งานมาก่อน ก็เลยไม่แปลกที่น้อง ๆ หลายคนจะรู้สึกประหม่า กล้า ๆ กลัว ๆ บางคนพอเห็นคุณสมบัติที่บริษัทต่าง ๆ ต้องการ ก็ถึงกับไม่กล้าสมัครงานเลยด้วยซ้ำ
วันนี้กระปุกดอทคอม ก็เลยขอรวบรวมเคล็ดลับเกี่ยวกับการสมัครงานและการสัมภาษณ์งานมาฝาก สำหรับน้อง ๆ เพิ่งเรียนจบโดยเฉพาะ เพื่อเป็นแนวทางให้น้อง ๆ ได้สมัครงานตรงกับความสามารถ และสัมภาษณ์งานผ่านฉลุย ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ เอ้า ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่า ว่าควรต้องทำยังไงกันบ้าง

1. สมัครงานให้ตรงความสามารถที่ตัวเองมี อย่าพยายามโปรยใบสมัครไปที่ไหนก็ได้ แม้รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยากทำงานนั้น แต่ขอให้เลือกงานที่ตรงกับความสามารถ และเป็นงานที่ตัวเองอยากทำจริง ๆ แม้ว่าทางบริษัทจะกำหนดคุณสมบัติว่าจะต้องมีประสบการณ์ 1-2 ปี ก็ตาม อย่าได้กลัว เพราะบางครั้งทางบริษัทอาจเลือกคุณไปสัมภาษณ์ก็ได้

2. แนบผลงานของตัวเองไปพร้อมประวัติ ไม่ว่าจะเป็นโปรเจคท์ที่ทำตอนเรียน หรือผลงานที่เกี่ยวข้องกับสายงานนั้น อย่าอาย เชื่อสิว่าทางบริษัทไม่หยิบมันทิ้งก่อนอ่านอย่างแน่นอน เพราะมันยิ่งทำให้เขาได้เห็นระดับความสามารถของคุณชัดเจนขึ้น และประเมินความเป็นไปได้ในการทำงานของคุณได้ก่อนจะเรียกไปสัมภาษณ์

3. รู้จักอ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ เมื่อคุณถูกเรียกสัมภาษณ์งานแล้ว แม้ว่าผู้สัมภาษณ์งานจะดูเป็นกันเองอย่างไร อย่าได้หลงแสดงพฤติกรรมเหมือนเพื่อน หรือพูดหยอกล้อเด็ดขาด ขอให้รักษากิริยาอ่อนน้อมไว้ให้ได้ตลอดการสัมภาษณ์ และท่องเอาไว้ว่า ผู้สัมภาษณ์ที่อยู่ตรงหน้านั้นกำลังจ้องมองพฤติกรรมของคุณอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปประเมินนั่นเอง

4. ตอบคำถามตรงไปตรงมาตามความคิดของตัวเอง แต่ต้องอยู่ภายใต้การรักษาน้ำใจผู้สัมภาษณ์ด้วย เพราะการพูดตรงไปตรงมานี้ จะทำให้คุณพูดจาฉะฉานขึ้นโดยอัตโนมัติ และสามารถอธิบายเหตุผลสนับสนุนความคิดนั้นได้ ดังนั้น อย่าพยายามตอบคำถามที่เอาใจผู้ฟังมากเกินไปจนสวนทางกับความ คิดของตัวเอง เพราะถ้าหากคุณโดนถามต่อ ละเอียดลึกลงไป อาการพูดตะกุกตะกักเพราะ "ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง" จะเกิดขึ้นอย่างง่าย ๆ อย่าคิดว่าผู้สัมภาษณ์ดูไม่ออกนะ

5. อย่าอวดเก่ง หรือแสดงท่าทีมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากเกินไป ประเภทคุยโวโอ้อวดถึงความสามารถที่ตัวเองมี และเปรียบเทียบว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยผ่านการทำงานมาเลยนั้น มักจะตกสัมภาษณ์มานักต่อนักแล้ว เพราะมันแสดงถึงความอวดเก่ง ความมั่นใจในตัวเองเกินไป ซึ่งคนประเภทนี้มีแนวโน้มว่าจะยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นได้ยากเสียด้วย

6. เรียกเงินเดือนให้เหมาะสมกับความสามารถของตนเอง แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่า คุณต้องไม่เข้าข้างตัวเองเกินไปด้วยนะ และถ้าเป็นไปได้ ควรสอบถามพูดคุยกับรุ่นพี่ หรือคนที่เคยทำงานนี้มาก่อน ว่าเงินเดือนที่เหมาะสมนั้นอยู่ที่เท่าไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ควรยืดหยุ่นในเรื่องจำนวนเงินไว้บ้าง แม้จะน้อยกว่าที่คาดหวังนิดหน่อย แต่หากงานนั้นเป็นงานที่อยากทำและตรงตามความสามารถแล้วล่ะก็ ลองเข้าไปสัมผัสและเก็บประสบการณ์ดูเลย

7. ระวังเรื่องการตอบไม่ตรงคำถาม หรือการพูดออกนอกประเด็นเรื่อยเปื่อย เมื่อถูกถามคำถามที่ตอบได้เพียง ใช่ หรือ ไม่ใช่ ขอให้ตอบไปสั้น ๆ ตามนั้น และหากถามเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นคำถามเปิด อย่าตอบเรื่อยเปื่อยไม่มีทิศทาง ซึ่งแน่นอนว่า ผู้สัมภาษณ์อาจจะฟังคุณและพยักหน้าตามจนคุณพูดจบได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะประเมินคุณผ่าน จริงไหม?

8. อย่าออกอาการประหม่า จนพูดอะไรไม่ถูก หลายคนรู้สึกกลัวคำถามที่ผู้สัมภาษณ์ยังไม่ถาม คิดไปก่อนแล้วว่ามันอาจจะยากจนตอบไม่ได้ ขอให้สลัดความคิดนี้ออกไป เพราะมันจะทำให้คุณประหม่า และตอบคำถามต่าง ๆ ได้ไม่ดีเท่าที่ควร จนรู้สึกเสียดายเมื่อการสัมภาษณ์สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้น ก่อนสัมภาษณ์ขอให้ตั้งสติดี ๆ และอย่ากดดันตัวเองระหว่างการสัมภาษณ์ แม้ว่าบรรยากาศจะชวนให้รู้สึกอย่างนั้นก็ตาม ขอให้ปล่อยทุกอย่างดำเนินไปอย่างผ่อนคลาย ถ้าคำถามไหนตอบได้ไม่ดีนัก ก็ตั้งสติตอบคำถามต่อไปดีกว่า

รู้อย่างนี้แล้ว หวังว่าน้อง ๆ คงจะรู้แนวทางในการสมัครและสัมภาษณ์งานเพื่อให้ได้งานกันมากขึ้นแล้วนะคะ แต่ถ้าหากยังไม่ได้รับการพิจารณาเข้าทำงานล่ะก็ อย่าเพิ่งหมดหวังค่ะ ขอให้เชื่อว่ามีคนที่ต้องการตัวเรารออยู่ข้างหน้า แต่เรายังหาไม่เจอเท่านั้นดีกว่าเนอะ

(เครดิต:กระปุกดอทคอม )